ไม่มีความจริงที่แน่นอนตายตัวสำหรับทุกคนเลยหรือ

ในยุคที่เราเรียกว่า “คนหัวสมัยใหม่” นี้ เรามักจะเจอความคิดที่ว่า “ความจริงทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน” หรือเรียกทั่วๆไปว่า “ไม่มีความจริงที่แน่นอนตายตัวสำหรับทุกคน” เราต้องเข้าใจว่าการกล่าวแบบนี้ก็ความแสดงถึงความขัดแย้งในตัวเอง เพราะการพูดว่า “ไม่มีความจริงที่แน่นอนตายตัวสำหรับทุกคน” ก็แสดงถึงความมั่นใจอย่างแน่นอนของผู้ที่พูดประโยคนี้เหมือนๆกับที่กล่าวว่า “ความจริงทุกอย่างนั้นขึ้นกับมุมมองของแต่ละคน” นั่นแหละ ถึงแม้ความคิดนี้จะไม่ค่อยมีเหตุผล แต่เราก็ยังจะเห็นได้ทั่วๆไปในสังคมของเรา แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนั้นล่ะ นี่อาจเป็นเพราะว่าบางคนอาจจะยังไม่เคยคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่ว่าสำหรับคนส่วนใหญ่แล้วเหตุผลที่เขาเชื่อเช่นนี้ก็เป็นการปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระจากการอยู่ใต้กฎศีลธรรมที่บังคับชีวิตเขา จากเพลงของโรลลิ่ง สโตนส์ (Rolling Stones) เขาร้องไว้ว่า “ฉันมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ที่ฉันต้องการ เมื่อไหร่ก็ได้” และนี่เป็นข้อสรุปอย่างดีที่ช่วยให้เราเห็นว่า คุณธรรมที่ตั้งขึ้นเองกำลังแพร่กระจายอยู่ในวัฒนธรรมของเรา คำว่า “ไม่มีความจริงที่แน่นอนตายตัวสำหรับทุกคน” อาจฟังดูน่าสนใจ แต่ความจริงแล้วถ้าลองจินตนาการจริงๆจะเห็นว่ามันน่ากลัวเป็นที่สุด ลองพิจารณาดูถึงความหมายแย่ๆที่แฝงอยู่ที่จะออกมาจากความคิดนี้ตามหัวข้อเหล่านี้

ศีลธรรม

สำหรับเรื่องศีลธรรมแล้ว ถ้าไม่มีความจริงที่แน่นอนตายตัวสำหรับทุกคน ก็จะไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าถูกหรือผิด มองแรกๆอาจจะดูเหมือนว่ามีเสรีภาพ แต่จริงๆแล้วนี่น่ากลัวเกินจะบรรยาย เพราะถ้าไม่มีความจริงที่แน่นอนตายตัวสำหรับทุกคนแล้ว ไม่ว่าการฆาตรกรรม การข่มขืน การทารุณกรรมเด็ก หรือแม้แต่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็จะไม่ได้เป็นเรื่องผิดหรือชั่วร้ายอะไรเลย หรือพูดอีกอย่างก็คือนี่ก็เหมือนๆกับการมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความเมตตาปราณี และมีความรัก เพราะว่าไม่มีมาตรฐานศีลธรรมอะไรที่จะมาแบ่งแยกระหว่างความดีความชั่ว จะไม่มีใครกล้ามาบอกเราว่าเราควรดำเนินชีวิตอย่างนั้นอย่างนี้ หรือควรทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะมันไม่มีหลักพื้นฐานของคำว่า “ควร” อยู่แล้วนี่นา คุณเองก็อาจจะพูดได้ว่า “ฉันมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ที่ฉันต้องการ เมื่อไหร่ก็ได้” แต่ถ้าสมมุติว่าคนข้างๆคุณเกิดอยากจะทรมานคุณและก็ฆ่าคุณขึ้นมาล่ะ คุณอาจจะไม่ชอบการทรมานหรือการฆาตรกรรม แต่ว่ามันไม่มีอะไรที่ถูกหรือผิด เพราะไม่มีความจริงที่แน่นอนตายตัวสำหรับทุกคน

ความจริง

คราวนี้ให้เราลองพิจารณาถึงแนวคิดเรื่องความจริงและความรู้ เพราะว่าความจริงทุกอย่างขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน เราจึงถูกสอนว่า โลกนี้ก็มีความจริง แต่มันไม่ใช่ความจริงสำหรับทุกคน ความรู้เป็นอะไรที่ไม่ถาวรและไม่แน่นอน แต่ว่าคุณเองแน่ใจสำหรับสิ่งนั้นรึเปล่า ถ้าตอบว่าแน่ใจ คุณก็กำลังยึดความจริงที่แน่นอนตายตัวที่คุณเองเพิ่งจะปฏิเสธไป และยิ่งไปกว่านั้นคุณกำลังยึดหลักว่าคุณเองไม่สามารถรู้อะไรหรือพูดอะไรได้ด้วยความแน่ใจเลย ถ้าไม่มีความจริงที่แน่นอนตายตัว คุณก็จะไม่รู้ว่าตัวคุณเองมีตัวตนจริงหรือเปล่า คุณจะไม่รู้ว่าตัวอักษร “ก” ก็แตกต่างจากตัวอักษร “ข” จริงหรือไม่ และคุณเองก็จะไม่รู้เหมือนกันว่าคำกล่าวใดๆจะถูกต้องจริงๆ ดังนั้นความรู้และความจริงก็จะเป็นอะไรที่จับต้องไม่ได้เหมือนกับที่คุณพยายามจะจับลม กระบวนการคิดต่างๆและข้อเสนอของคุณไม่ว่าในเรื่องใดๆก็ตาม (รวมทั้งความจริงและความรู้ด้วย) ก็จะเป็นเรื่องไร้สาระทั้งสิ้น ดังนั้นคุณก็ควรจะเงียบไปเลย หรือถ้าคุณจะพูด ก็จะต้องเข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังพูดนั้นก็ไร้สาระ และถ้าคุณจะยังเชื่ออย่างนี้ต่อไป มันก็เป็นความหยิ่งจริงๆ เพราะคุณได้ตั้งตัวเองให้เป็นผู้ตัดสินว่าอะไรคือความจริงที่แน่นอน และโดยที่คุณอาจจะไม่รู้ตัว คุณก็กำลังทำให้ตัวเองเป็นแหล่งอ้างอิงสูงสุด นั่นคือไม่มีความจริงที่แน่นอนตายตัวอะไรอื่นนอกจากคำพูดของคุณเอง

ความหมาย

ให้พิจารณาในเรื่องของความหมายและเป้าหมายของชีวิตเป็นเรื่องสุดท้าย การที่จะพูดว่า ไม่มีความจริงที่แน่นอนตายตัว ก็เท่ากับบอกว่าไม่มีความหมายและเป้าหมายของชีวิตที่แท้จริง และถ้าเราพูดตามตรงด้วยความซื่อสัตย์ มันก็จะนำเราสู่ข้อสรุปที่ว่าชีวิตนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย คุณอาจจะพูดว่าคุณสามารถสร้างความหมายให้ชีวิตของคุณเองได้ แต่ถ้ามันไม่มีความหมายสูงสุดของชีวิตนี้จริงๆ คุณก็แค่กำลังหลอกตัวเอง เพราะถ้าต้นกำเนิดของชีวิตคุณไร้ความหมาย และชะตากรรมของคุณไร้ความหมาย ความมีตัวตนของคุณเองก็ไร้ความหมายด้วย และยิ่งไปกว่านั้นความพยายามใดๆก็ตามที่จะสร้างความหมายขึ้นมาให้กับสิ่งที่ไร้ความหมายก็ล้วนแล้วแต่ไร้ประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น

สมมุติว่าคุณได้รับหน้าที่ให้พยายามหาความหมายและเป้าหมายในการเก็บรักษา และพัฒนาสปีชีส์ของมนุษย์หรือโลกของเราให้ดีขึ้น จำไว้ว่ามันไม่มีความจริงที่แน่นอนตายตัว ดังนั้นจุดมุ่งหมายอัน “สูงส่ง” นี้จริงๆแล้วก็ไม่ได้มีเป้าหมาย หรือความหมาย หรือคุณค่าใดๆเลย แล้วมันจะมีความหมายอะไรถ้าตัวคุณ หรือเผ่าพันธุ์มนุษย์ หรือแม้แต่ทั้งจักรวาลจะยังดำเนินต่อไปแม้อีกสักเสี้ยวนาที และคำตอบก็คือว่า “ไม่มีเลย” เราไม่ได้มีความหมายต่อสิ่งใดเลย เพราะว่าไม่มีอะไรมีความหมายในจักรวาลที่ไร้ความหมายและเป้าหมายที่แท้จริง คุณก็เป็นเพียงแค่จุดจุดหนึ่งของเวลาที่กำลังเล่นบทบาทของตนเองอย่างไร้เป้าหมายในโลกของการมีตัวตนที่ไร้ความหมายที่ไม่มีแม้แต่โครงเรื่องให้ตัวละคร เหมือนกับในนิยายเรื่องแม็คเบ็ธของเชคสเปียร์ที่เขียนไว้ว่า ชีวิตก็คือ “เรื่องราวที่เล่าโดยคนงี่เง่าคนหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยความเดือดดาล และมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย” ถ้าปราศจากความจริงที่แน่นอนในเรื่องของความหมายและเป้าหมาย ชีวิตก็จะไร้เหตุและผลอย่างสิ้นเชิง ความวิกลจริตหรือการฆ่าตัวตายก็จะเป็นกลายเรื่องที่สมเหตุสมผลพอๆกับเรื่องอื่นๆ เพราะว่ามันไม่มีอะไรที่สมเหตุสมผลเลย

ดังนั้นเราจะต้องเจอกับอะไรถ้าเราไม่เชื่อว่ามีความจริงที่แน่นอนตายตัวสำหรับทุกคน? คำตอบก็คือ เราจะมีความจริงที่ไม่จริงเลย มีเป้าหมายที่ไม่มีเป้าหมาย มีคุณค่าที่ไม่ได้มีค่า และมีชีวิตที่ไม่มีความหมายอะไรเลย แม้แต่บทสนทนาด้วยเหตุผลก็จะเป็นโมฆะไป การปฏิเสธว่าไม่มีความจริงที่แน่นอนตายตัวก็เท่ากับปฏิเสธทุกสิ่งและจบลงด้วยความไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลยจริงๆ

ที่สุดของความจริงอันเที่ยงแท้

แต่ว่านี่กำลังบอกว่าไม่มีอะไรที่จริงแท้แน่นอนเลยหรือ? แน่นอนว่าต้องมี และทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ พวกเราแต่ละคนรู้ว่าความโหดร้ายกับไม่โหดร้ายนั้นก็แตกต่างกันจริงๆ เรารู้ว่าการฆาตรกรรม การข่มขืนและการทารุณกรรมเด็กก็เป็นเรื่องที่ผิด เรารู้ว่าเรารู้บางเรื่องจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น เรารู้ว่าเรามีตัวตนเนื่องจากเรามีสติสัมปัสชัญญะที่รู้ตัวเอง และการมีตัวตนของเรานั้นก็จะต้องมีความหมายและมีคุณค่าด้วย จากพระคัมภีร์ไบเบิล พระเจ้าได้เขียนความจริงอันเที่ยงแท้ไว้ที่หัวใจของมนุษย์ (โรม 1:18-32; 2:14-16) แต่ปัญหาของเราก็คือ ตอนที่เราพยายามแสวงหาเสรีภาพทางศีลธรรมของตนเอง (“ฉันมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ที่ฉันต้องการ”) เราก็ได้ข่มความรู้ซึ่งเลี่ยงไม่ได้ในเรื่องของความถูกหรือผิดเอาไว้ แล้วก็พยายามใช้ชีวิตโดยไม่พึ่งพระองค์ผู้เป็นที่สุดของความจริงอันเที่ยงแท้แต่เพียงผู้เดียวซึ่งเป็นพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเราไม่เริ่มต้นกับพระเจ้าผู้มีความสัมพันธ์กับเราอย่างเป็นส่วนตัวอย่างไม่สิ้นสุด กับพระองค์ผู้ทรงสื่อสารกับเราผ่านทางพระคัมภีร์ มันก็จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเราจะมีความจริงอันเที่ยงแท้ใดๆ เหมือนดังคำกล่าวของนักปรัชญาคนหนึ่งที่ว่า “ไม่มีจุดจุดใดที่มีความหมายได้โดยปราศจากการอ้างถึงจุดอนันต์ที่ไม่สิ้นสุด”

และก็มาถึงประเด็นที่ว่า ถ้าคุณไม่เริ่มต้นที่พระเจ้าผู้เป็นที่สุดของความจริงอันเที่ยงแท้ คุณก็จะจบลงอย่างไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรทั้งในเรื่องของศีลธรรม ในเรื่องของความหมายชีวิต หรือในเรื่องของความรู้ แม้ว่าคุณอาจจะพูดว่า “แต่ฉันก็มีอิสรภาพ” นี่ก็ใช่ แต่ช่างเป็นอิสรภาพที่เลวร้ายเสียจริง อิสรภาพที่จะไม่ได้เป็นอะไรเลย ไม่รู้อะไรเลย ไม่ได้อยู่เพื่ออะไรเลย และยิ่งคุณพยายามจะใช้ชีวิตที่คุณเรียกอย่างผิดๆว่า “อิสรภาพ” ต่อไปมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งต้องพบกับพันธการของความบาป ความสิ้นหวัง และความไร้ประโยชน์มากเท่านั้น

มันมีความจริงที่เที่ยงแท้แน่นอนจริงๆและคุณก็สามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้ เพราะพระเจ้าได้ทรงตรัสไว้แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ คุณสามารถรู้จักพระเจ้าได้เพราะสิ่งที่พระองค์ได้ทำ นั่นคือการส่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลกนี้ นี่แหละเป็นที่ที่เราจะค้นพบอิสรภาพที่แท้จริง อย่างที่พระเยซูได้ตรัสกับบรรดาผู้ติดตามพระองค์ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในคำของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง และท่านทั้งหลายจะรู้จักความจริง และความจริงนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท” (ยอห์น 8:31-32)

ความเชื่อแท้ในพระคริสต์ เป็นคนละเรื่องกับการปกครองแบบเผด็จการที่เต็มไปด้วยการกดขี่ข่มเหงอย่างสิ้นเชิง มันไม่ใช่การปกครองแบบเผด็จการของฮิตเลอร์หรือเหมาเจ๋อตุง หรือเป็นแบบสงครามศาสนาอย่างสงครามครูเสด หรือระบบศาลของศาสนจักร พระคริสต์ทรงประฌามสิ่งเหล่านี้อย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นความหยิ่งจองหอง การกดขี่ข่มเหงรังแกผู้อื่น การมองตัวเองชอบธรรม และการตัดสินคนอื่น

of Lake Road Chapel
For over 35 years, Richard Ochs has co-pastored with Charles Leiter in Kirksville, MO. Prior to this, they served together in a mission work in Germany. Richard grew up in rural central Iowa, received his bachelor's degree from Upper Iowa University and his master's degree from Northeast Missouri State University (Truman State). He and his wife, Rene', have five adult children.