คำโกหกที่นักศึกษาได้ยิน

คำโกหกที่ 1 คนที่จะเชื่อพระคัมภีร์ได้ต้องไม่ใช้สติปัญญาของตนเอง

ความเชื่อผิดๆในยุคการศึกษาสมัยใหม่ก็คือว่า คนที่ฉลาดจริงๆจะไม่เชื่อพระคัมภีร์ แต่แท้จริงแล้วคนที่มีสติปัญญาสูงหลายๆคน ไม่เพียงแค่มองว่าพระคัมภีร์นั้นสำคัญต่อความเชื่อ แต่ยังเป็นรากฐานของความรู้ทั้งหมดอีกด้วย มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ที่ตั้งขึ้นในยุคแรกๆในสหรัฐอเมริกาก็ใช้หลักการนี้ เช่น วิทยาลัยวิลเลียม & แมรี มหาวิทยาลัยเยล มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน นี่ก็เป็นเพียงไม่กี่มหาวิทยาลัยที่ยกมาเป็นตัวอย่าง มหาวิทยาลัยเหล่านี้ได้ใช้พระคัมภีร์เป็นศูนย์กลางของหลักสูตรการศึกษา อย่างเช่นกฎข้อแรกของฮาร์เวิร์ดที่เขียนไว้ในปี ค.. 1942 ว่า “ให้นักศึกษาทุกคนได้รับการสอนอย่างชัดเจนและถูกผลักดันอย่างจริงจังที่จะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่า ปลายทางสุดท้ายที่สำคัญของชีวิตและการศึกษาคือที่จะรู้จักพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ที่เป็นชิวิตนิรันดร์ และที่จะให้พระคริสต์เป็นรากฐานเดียวของความรู้และการศึกษาทั้งสิ้น

ผู้มีสติปัญญาทิ่ยิ่งใหญ่หลายคนในประวัติศาสตร์ได้พบว่า มุมมองต่อโลกของชาวคริสเตียนมีเหตุมีผลเป็นอย่างยิ่ง ออกัสติน, จอห์น วิคลิฟ, เร็มแบรนด์, จอห์น มิลตัน, เบลส ปาสคาล, โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค, โรเบิร์ต บอยล์, โจนาธาน เอดเวิร์ด, ไมเคิล ฟาราเดย์, เจมส์ คาล์ค แมกซ์เวลล์, ลอร์ด เควิน, ซี. เอส. ลูอิส และคนอื่นๆอีกหลายคน เห็นว่าเรื่องความคิดและความเชื่อไม่ได้ขัดแย้งกันเลย การที่พระเจ้าทรงเปิดเผยความจริงต่อมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์เป็นเพียงเรื่องเดียวที่พอจะเข้าใจได้จากเรื่องอื่นๆทั้งหมดในชีวิตเราด้วยซ้ำ

ทุกวันนี้พระคัมภีร์ถูกมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระจากคนที่เรียกตัวเองว่าผู้มีสติปัญญา เพราะว่าความเย่อหยิ่งและทะนงตนของเขาเองได้บังตาเขาจากความจริง “เขาอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขาจึงกลายเป็นคนโง่เขลาไป” (โรม 1:22) อย่าหลงไปกับสติปัญญาจอมปลอมที่มีเกลื่อนในมหาวิทยาลัย สุดท้ายแล้ว มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากที่คุณจะถูกคนอื่นๆ ในมหาวิทยาลัยมองว่าโง่หรือฉลาด เพราะสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือคุณรู้จักพระเจ้าหรือไม่

คำโกหกที่ 2 วิวัฒนาการเป็นการอธิบายถึงต้นกำเนิดและสภาพที่เป็นอยู่ของจักรวาลอย่างสมเหตุสมผล

เป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะต้องระบุว่าวิวัฒนาการหมายความว่าอย่างไร เราไม่ได้กำลังพูดถึงแค่เรื่องการเปลี่ยนแปลง แน่นอนว่ามีการเปลี่ยนอย่างมากในโลกรอบตัวเรา คำว่าวิวัฒนาการหมายถึงข้อสันนิษฐานที่ว่าโมเลกุลต่างๆได้กลายมาเป็นมนุษย์โดยผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติเท่านั้น จี. จี. ซิมส์สัน, จาค โมนอด, คาร์ล เซแกน และริชาร์ด ดาวกินส์ เป็นผู้สนับสนุนหลักในเรื่องนี้ คำกล่าวสั้นๆโดยเซแกนเป็นข้อสรุปที่ดีมาก คือ “จักรวาลก็มีอยู่แค่นี้ มันเป็นอย่างที่เคยเป็น แล้วก็จะยังเป็นอย่างนี้ต่อไป”

ความคิดที่ว่าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นจากสิ่งไม่มีชีวิตโดยอาศัยความบังเอิญ และจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งที่เราเห็นรวมทั้งมนุษย์เราเป็นเพียงสสารหรือพลังงานนั้นเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลสิ้นดี เรดีและปาสเตอร์ได้พิสูจน์แล้วว่าทฤษฎีที่ว่าสิ่งชีวิตเกิดขึ้นได้เองนั้นไม่ถูกต้อง นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการได้นำแนวคิดนี้เข้ามาในวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็เพื่อหาคำตอบตามธรรมชาติให้กับต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิต แม้ว่านี่จะเป็นความเชื่อแบบผิดๆที่ได้รับความนิยมอย่างมากแต่ก็ไม่มีทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่จะสนับสนุน เพราะแม้แต่เครื่องมือปล่อยประจุไฟฟ้าของมิลเลอร์และอูรี่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดอะไรที่ใกล้เคียงกับคำว่าสิ่งมีชีวิตแม้แต่น้อย

แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ความคิดที่ว่าความไร้ซึ่งบุคลิกลักษณะของสสารที่ไร้ซึ่งเหตุผลจะทำปฏิกริยาในตัวเองแล้วก็เกิดผลผลิตเป็นมนุษย์ผู้ซึ่งมีบุคลิกลักษณะของตัวเอง มีเหตุมีผล มีความคิดเรื่องศีลธรรมและมีเป้าหมาย สสารที่ไร้ซึ่งศีลธรรมจะสามารถก่อให้เกิดมนุษย์ที่มีบุคลิกลักษณะและมีเหตุมีผลได้หรือ สสารที่เกิดจากเวลาและความบังเอิญสามารถที่จะให้กำเนิดมนุษย์ที่มีเป้าหมายและความหมายที่แท้จริงได้หรือ ความจริงแล้วทั้งทฤษฎีนี้ก็เป็นการทำลายตัวเอง เพราะการมีเหตุผลของมนุษย์จะถูกทำลายอย่างหมดสิ้นในระบบที่อ้างว่าความคิดเรามาจากสาเหตุที่ไม่มีเหตุผล ตัวดาร์วิลเองยังได้กล่าวไว้ว่า “แต่แล้วผมเองก็มักมีความสงสัยอันน่ากลัวขึ้นมาในใจว่าความเชื่อมั่นในจิตใจมนุษย์ที่ได้พัฒนามาจากความคิดของสัตว์ที่ต่ำกว่าจะมีคุณค่าและไว้ใจได้หรือ จะมีใครล่ะที่จะไว้ใจความเชื่อมั่นที่มาจากความคิดของลิงถ้าสมมุติว่ามันมีความเชื่อมั่นแบบนั้นในความคิดจริงๆ” โดยการทำลายความมีเหตุมีผลของจิตใจมนุษย์นี่เองที่ทำให้ทฤษฎีวิวัฒนาการนี้เหมือนตัดหัวของตัวเอง จิตใจของมนุษย์ไม่อาจจะไว้ใจสิ่งใดเลย ไม่แม้แต่จะไว้ใจในตัวของทฤษฎีวิวัฒนาการเอง

เพราะการปฏิเสธพระเจ้านี่เองที่ทำให้มนุษย์จบลงที่การปฏิเสธความเป็นมนุษย์ของตนเอง ความจริง ความสวยงาม ความรัก ความมีศีลธรรม และความมีเหตุมีผลได้ถูกขโมยไปจากมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด ทุกสิ่งได้กลายเป็นสิ่งไร้สาระที่ไม่มีความหมาย มีเพียงน้อยคนที่จะสงสัยในสิ่งที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า “คนโง่รำพึงในใจของตนว่า ‘ไม่มีพระเจ้า’” (สดุดี 53:1)

อย่ายึดความเชื่อผิดๆอันโง่เขลานี้ไว้ ไม่ว่าคุณจะพยายามฝืนใจเชื่อแค่ไหน ลึกๆในใจของคุณเองก็จะร้องว่าคุณไม่ใช่สัตว์หรือเครื่องจักร แต่คุณเป็นมนุษย์ คุณไม่ได้รับสิ่งนี้มาจากอะมีบา แต่คุณรับมันมาจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างคุณและเรียกคุณมาหาพระองค์

คำโกหกที่ 3 ศาสนาคริสต์โดยพื้นฐานแล้วก็เหมือนกันกับศาสนาอื่นๆในโลก

แม้ว่าโดยผิวเผินแล้วจะมีความคล้ายคลึงกันบ้างระหว่างศาสนาคริสต์กับศาสนาอื่นๆ แต่แก่นแท้ของศาสนาคริสต์นั้นแตกต่างจากศาสนาอื่นๆอย่างสิ้นเชิง พระเยซูคริสต์เรียกร้องให้เรามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าซึ่งนี่ทำให้เราไม่มีทางอื่นที่จะช่วยตัวเองให้รอดได้ “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา” (ยอห์น 14:6)

ศาสนาคริสต์คือพระคริสต์ รากฐานความเชื่อของศาสนาคริสต์ คือ ชีวิต ความตายและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเพื่อบรรดาคนบาป ศาสนาอื่นๆทุกศาสนาได้ให้ความสำคัญที่มนุษย์ คนบาปพยายามจะไปถึงพระเจ้าด้วยความพยายามของตนเอง สำหรับศาสนาคริสต์ พระเจ้าลงมาหาคนบาปและจัดเตรียมความชอบธรรมให้พวกเขาผ่านทางความตายของพระบุตรของพระองค์บนไม้กางเขน การมองว่าศาสนาคริสต์มีพื้นฐานเดียวกันกับศาสนาอื่นก็เป็นการมองข้ามประเด็นที่สำคัญที่สุด คือ “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:16)

คำโกหกที่ 4 เงิน อำนาจ ความสุข และชื่อเสียง จะให้ความหมายและเป้าหมายที่แท้จริงแก่ชีวิตได้

เกียรตินิยม งานที่ได้ค่าตอบแทนสูง และ “ชีวิตที่ดี” สิ่งเหล่านี้แกว่งไปมาตรงหน้านักศึกษาเพื่อล่อใจให้พวกเขาไขว่คว้าเพื่อให้ได้มาซึ่งการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แต่ว่าสิ่งเหล่านี้คือทั้งหมดของชีวิตจริงหรือ หนึ่งในบรรดาคนที่ฉลาดที่สุดที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก็มีสิ่งเหล่านี้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์แต่กลับพบว่าพวกมันไม่อาจทำให้เขาพอใจได้ ผู้นั้นก็คือกษัตริย์ซาโลมอน พระองค์ทรงมีทุกสิ่งทุกอย่างมากมายเกินกว่าที่คุณเองจะใฝ่ฝันว่าจะได้ครอบครอง แต่พระองค์กลับพบว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ให้ความหมายที่แท้จริงอะไรแก่ชีวิตเลย คุณเข้ามาในโลกนี้ตัวเปล่า คุณก็จะกลับไปตัวเปล่า การไขว่คว้าหาความพอใจชั่วคราวและทรัพย์สมบัติของโลกนี้ก็เหมือนกับ “การวิ่งตามลม”

พระเยซูทรงเพิ่มสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นอีก พระองค์ทรงตรัสว่าว่า นอกจากคุณจะสูญเสียทุกอย่างเมื่อคุณตาย คุณยังจะสูญเสียจิตวิญญาณของคุณเองด้วย “เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร” (มาระโก 8:36) ทำไมจะยอมเสียเวลาทั้งชีวิตกับสิ่งที่จะทำให้คุณต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตัวเองในท้ายที่สุดเเล่า

จากทัศนคติของโลกนี้ที่เพียรพยายามให้ได้มาซึ่งความก้าวหน้าและความพึงพอใจสำหรับตัวเอง พระเยซูกลับทรงสอนทางแห่งความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงซึ่งต่างออกไป นั่นก็คือการเป็นคนรับใช้ของคนทั้งปวง ทรงสอนว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของคนที่ยากจนฝ่ายจิตวิญญาณ และพระเจ้าทรงต่อสู้คนหยิ่งจองหองแต่ให้พระคุณกับคนที่มีใจถ่อม

คำโกหกที่ 5 พระเยซูไม่เคยกล่าวว่าพระองค์เป็นพระเจ้า

คำพูดเพียง 2-3 ประโยคจากพระคัมภีร์ใหม่ก็เพียงพอแล้วที่จะลบล้างความเชื่อผิดๆนี้ ในยอห์น 10:30 พระเยซูทรงตรัสอย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงเท่าเทียมกับพระเจ้า “เรากับพระบิดาของเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” ต่อจากนั้นในเล่มเดียวกันพระองค์ก็ทรงตรัสในแบบที่ต่างออกไปว่า “ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา” (ยอห์น 14:9)

พระเยซูทรงถือว่าพระองค์เป็นพระเจ้าอยู่เสมอ พระองค์อ้างถึงฤทธิ์อำนาจในการให้อภัยบาปและทรงใช้สิทธิในการรับคำสรรเสริญจากมนุษย์ ตอนที่โธมัสเรียกพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเจ้าของข้าพระองค์” พระองค์ก็ไม่ได้ตำหนิเขา แต่ตรงข้ามพระองค์ยังได้สัญญาว่าจะให้ของประทานอันล้ำเลิศเช่น สันติสุขและชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ พระองค์ทรงสอนจากคุณความดีของพระองค์เอง พระองค์ทรงสอนด้วยสิทธิอำนาจอย่างแท้จริง ทรงตรัสว่าฟ้าสวรรค์และโลกจะล่วงไปแต่ถ้อยคำของพระองค์จะยืนยงนิรันดร์ ทรงตรัสว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลกนี้และพระองค์จะกลับมาพิพากษามนุษย์ในวันสุดท้าย

คนยิวในสมัยนั้นย่อมเข้าใจดีว่าพระเยซูกำลังกล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พวกเขาจึงจับพระองค์ที่หมิ่นประมาทพระเจ้า ในตอนหนึ่งที่พวกเขากำลังจะขว้างก้อนหินใส่พระเยซู พระองค์ได้ถามพวกเขาว่าเพราะการดีอันไหนที่พระองค์ทำหรือ พวกเขาจึงจะขว้างพระองค์ด้วยก้อนหิน พวกยิวตอบว่า “เราจะขว้างท่านมิใช่เพราะการกระทำดี แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาท เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า” (ยอห์น 10:31-22) นี่เป็นเพียงข้อพระคัมภีร์ไม่กี่ข้อในพระคัมภีร์ใหม่ที่อ้างถึงความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ แต่นี่น่าจะเพียงพอที่จะตอกกลับในสิ่งที่คนมักยกขึ้นมาพูดอย่างผิดๆเกี่ยวกับพระเยซู พระองค์ไม่อาจถูกมองว่าเป็นแค่เพียงครูสอนศีลธรรมที่ดีคนหนึ่งอย่างพระพุทธเจ้าหรือขงจื๊อ พระองค์ไม่ได้ให้ทางเลือกนี้

คำโกหกที่ 6 ประวัติของพระคริสต์ไม่น่าเชื่อถือเพราะถูกเขียนขึ้นหลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว

นี่เป็นวิธีหนึ่งที่มนุษย์พยายามจะหลีกเลี่ยงคุณลักษณะที่หนือธรรมชาติ และคำกล่าวอ้างที่น่าพิศวงเกี่ยวกับพระคริสต์ พวกเขาพูดว่าสิ่งเหล่านี้ถูกแต่งขึ้นโดยเหล่าสาวกผู้ติดตามพระองค์หลายปีหลังจากนั้น คนที่พยายามจะหลีกเลี่ยงความเป็นคริสต์ของพระเยซูไม่สามารถที่จะใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์มาเป็นข้ออ้างได้ เพราะมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าชีวประวัติของพระเยซูคริสต์ถูกเขียนขึ้นในช่วงที่คนที่อยู่ในสมัยเดียวกันกับพระองค์นั้นยังมีชีวิตอยู่ ขนาดที่วิลเลี่ยม เอฟ. ออลไบรท์ (นักโบราณคดีทางพระคัมภีร์ชาวอเมริกาผู้มีชื่อเสียงจนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี 1971) กล่าวไว้ว่า “พระคัมภีร์ทุกเล่มในพันธสัญญาใหม่ถูกเขียนขึ้นโดยชาวยิวผู้ได้รับบัพติศมาในช่วง ค.. 40-80 ซึ่งเป็นช่วงศตวรรษแรก”

ภาพพระคริสต์ในพันธสัญญาใหม่เป็นอะไรที่อยู่เหนือขอบเขตที่มนุษย์จะสามารถแต่งขึ้นได้ พระองค์ทรงอยู่สูงเกินกว่าที่ใครจะสามารถสร้างขึ้นมา คงจะต้องมีบางคนที่มีความเท่าเทียมกับพระคริสต์ผู้ที่ถูกเขียนถึงในพระคัมภีร์นั่นแหละ จึงจะสามารถสร้างสรรค์เรื่องของมนุษย์คนหนึ่งที่สมบูรณ์พร้อมทุกอย่างและยังมีลักษณะขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย แต่ที่แน่ๆเหล่าสาวกคงไม่ยอมสละชีวิต (ซึ่งส่วนใหญ่ได้ยอม) เพื่อสิ่งที่พวกเขาเองก็รู้ทั้งรู้ว่าได้แต่งขึ้นมาจากจินตนาการของตน

คำอธิบายเดียวที่สมเหตุสมผลก็คือ พระคัมภีร์บันทึกสิ่งที่กล่าวอ้างไว้ มีบันทึกจากพยานที่ได้เห็นคนที่น่าอัศจรรย์ที่สุดที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ซึ่งก็คือองค์พระเจ้าในสภาพมนุษย์ เหมือนที่อัครทูตเปโตรได้เขียนไว้ว่า “เราไม่ได้คล้อยตามนิยายที่เขาคิดแต่งไว้ด้วยความเฉลียวฉลาด แต่เราได้เห็นอานุภาพของพระองค์ด้วยตาของเราเอง(2 เปโตร 1:16)

ถ้าคุณต้องการจะใช้สติปัญญาของคุณจริงๆ ทำไมไม่ลองอ่านพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ แล้วตัดสินสิ่งที่คุณอ่านอย่างเป็นธรรมที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ คุณอาจจะเริ่มโดยการอ่านในพระกิตติคุณยอห์น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ถ้าผู้ใดตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ ผู้นั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนั้นมาจากพระเจ้า หรือว่าเราพูดตามใจชอบของเราเอง” (ยอห์น 7:17)

คำโกหกที่ 7 การเมาเหล้าและมีเพศสัมพันธ์กันในสังคมมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องที่น่าจะยอมรับได้ “เพราะทุกคนก็ทำ”

วิธีหนึ่งที่พวกนักศึกษาพยายามทำให้ตัวเองไม่รู้สึกว่าบาปของพวกเขาเลวร้ายนัก ก็โดยการให้เหตุผลว่าทุกคนก็ใช้ชีวิตแบบนี้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการผิดศีลธรรมทางเพศ การเมาหล้า เสพยา พูดจาหยาบคาย ทุจริต และโกหก สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ถูกมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาในมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่นักศึกษายังนำเรื่องเหล่านี้มาโอ้อวดกันอีกด้วย แต่ความบาปไม่ใช่สิ่งที่น่าอวด เพราะเป็นเรื่องของชีวิตและความตาย  เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตายและก็ยังจะเป็นความตายเสมอไปไม่เปลี่ยนแปลง (โรม 6:23) ความบริสุทธิ์ของพระเจ้านั้นไม่มีอะไรเจือปนและมาตรฐานของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลงสำหรับความประพฤติทุกอย่าง และเพราะพระองค์ทรงยุติธรรมพระองค์จึงไม่สามารถปล่อยคนบาปให้ลอยนวลได้ นี่เป็นเหตุผลที่พระองค์ได้เตือนไว้ในอพยพ 23:2 ว่า “อย่าทำชั่วตามอย่างคนจำนวนมากที่เขาทำกันนั้น” นักศึกษาทั้งหลาย “อย่าหลงเลย คนล่วงประเวณี คนถือรูปเคารพ คนผิดผัวเมียเขา คนนิสัยเหมือนผู้หญิงหรือคนที่เป็นกะเทย คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก(1โครินธ์ 6:9, 10)

คำโกหกที่ 8 มนุษย์มีพื้นฐานเป็นคนดี

ถ้ามองจากประวัติศาสตร์มนุษยชาติแล้วมันเป็นเรื่องน่าประหลาดทีเดียวที่มนุษย์เรายังสามารถเห็นว่าตนมีพื้นฐานเป็นคนดี ลองคิดถึงแค่ช่วงศตวรรษที่ 20 นี้ มีสงครามโลก 2 สงคราม ค่ายกักกันนาซี สงครามเวียดนาม ชาวรัสเซีย 66 ล้านคนถูกฆ่าตายเพราะการปฏิวัติบอลเชวิค และหลายล้านคนต้องตายจากการนำของเหมาเจ๋อตุง นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่เกิดขึ้นไม่นานนัก เพื่อให้เห็นความจริงว่าประวัติศาสตร์มนุษยชาติถูกเขียนขึ้นด้วยเลือดและน้ำตา ถึงกระนั้นมนุษย์ก็ยังพยายามหลอกตัวเองด้วยความคิดสอพลอเรื่องความดีงามของตน นี่คือความจริงที่พระคัมภีร์ได้ประเมินไว้ว่า “จิตใจของบุตรทั้งหลายของมนุษย์ก็เต็มไปด้วยความชั่ว” (ปัญญาจารย์ 9:3)

เป็นความจริงที่มนุษย์คนแรกที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นดี แต่เพราะเขากบฎต่อพระผู้สร้างของเขา เขาจึงตกอยู่ในความเสื่อมทรามโดยธรรมชาติของเขาเอง เหตุผลหนึ่งที่มนุษย์ยังมองว่าตนมีพื้นฐานเป็นคนดีนั่นก็เพราะว่าเขาเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นแทนที่จะวัดชีวิตของเขาจากความชอบธรรมและมาตรฐานอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า และแน่นอนว่าเราคงจะไม่แย่นักหรอกถ้าเราลดมาตรฐานให้เข้ากับพฤติกรรมของเรา

คนเรามักจะมองแค่ภายนอก บางครั้งเราทำได้ดีทีเดียวในเรื่องของการกระทำภายนอก แต่เรื่องความคิดต่างๆและแรงจูงใจข้างในล่ะ พระเยซูตรัสว่าคำสั่งของพระเจ้าเป็นเรื่องที่เน้นเกี่ยวกับจิตใจมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น คำสั่งเรื่องไม่ให้ฆ่าคนก็มากกว่าแค่การทำลายชีวิตของคนอื่นด้านร่างกาย แต่ทุกครั้งที่คุณโกรธหรือซ่อนความขุ่นเคืองไว้ในใจ คุณก็กำลังฆ่าคนนั้นแล้ว “ผู้ใดเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นฆาตกร และท่านทั้งหลายก็รู้แล้วว่า ไม่มีฆาตกรคนใดที่มีชีวิตนิรันดร์ดำรงอยู่ในเขาเลย(1 ยอห์น 3:15)

คุณอาจจะสามารถซ่อนความบาปของคุณไว้ไม่ให้ใครรู้ คุณอาจจะหลอกตัวเองให้เชื่อว่าคุณก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก แต่ให้มั่นใจเถอะว่าวันหนึ่งคุณจะต้องยืนขึ้นต่อหน้าพระเจ้าเพื่อรายงานทุกความคิด แรงจูงใจและการกระทำของคุณเองต่อพระองค์

คำโกหกที่ 9 พระเจ้าจะช่วยคนดี

คำโกหกนี้ก็คล้ายๆกับคำโกหกข้างบนที่มักจะได้ยินกันบ่อยๆ แต่แตกต่างกันตรงที่คำโกหกข้างบนโดยส่วนใหญ่จะถูกสอนในห้องเรียน ส่วนคำโกหกอันหลังนี้จะถูกสอนผ่านทางกลุ่มศาสนาในมหาวิทยาลัย เรามักจะได้ยินว่า เพราะพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ดังนั้นถ้าคุณพยายามใช้ชีวิตอย่างดีงาม พระเจ้าจะมองข้ามความล้มเหลวทางศีลธรรม (ความบาป) ของคุณ และคุณจะได้ไปสวรรค์ แม้แต่ในกลุ่มที่ดูเหมือนว่าจะเป็นคริสเตียน ก็จะมีความคิดที่ว่า “ความดีช่วยลบล้างความบาปในชีวิตได้” ความคิดนี้ถูกเสนอเหมือนเป็นพระกิตติคุณอยู่บ่อยๆ แต่นี่ไม่ใช่พระกิตติคุณเลย เพรามันบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับเรื่องบาปของเราและความรักของพระเจ้า อันดับแรก ความดีของเราที่มีจริงๆไม่ใกล้เคียงสักนิดกับความดีที่เราคิดว่าเราเป็น และความบาปของเราจริงๆก็เลวร้ายยิ่งกว่าที่เราคิดเสียอีก และต้องเชื่อมโยงสิ่งนี้กับความจริงที่ว่าแม้พระเจ้าเองจะเป็นพระเจ้าแห่งความรักแต่พระองค์ก็ไม่อาจมองข้ามความบาปได้ พระองค์ทรงยุติธรรมและบริสุทธิ์และสัญญาว่าจะลงโทษบาปทั้งสิ้น พระเจ้าจะยืนหยัดในความยุติธรรมของพระองค์อย่างแน่นอน แล้วถ้าอย่างนั้นคนบาปอย่างคุณและผมจะเป็นอย่างไร แน่นอนว่าเราจะต้องตกอยู่ภายใต้พระพิโรธและการพิพากษาอันชอบธรรมของพระเจ้า แต่สิ่งที่น่าพิศวงของพระกิตติคุณที่แท้จริงก็คือพระเจ้าทรงให้ทางหนึ่ง เป็นทางที่ความบาปทั้งหมดได้ถูกลงโทษและก็ยังช่วยคนบาปให้รอดได้ด้วย ถ้าคุณสนใจอยากจะรู้จักทางนั้น ก็ให้อ่านพระคัมภีร์ใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระกิตติคุณ 4 เล่มแรก ซึ่งสิ่งหนึ่งที่คุณจะพบเวลาอ่านพระคัมภีร์ก็คือไม่มีใครเป็นคนดีพอที่จะไปสวรรค์ได้ และในทางกลับกันก็ไม่มีใครที่จะเลวร้ายเกินกว่าที่พระเจ้าจะช่วยไถ่ชีวิตของเขาได้

…………………………..

นักศึกษาทั้งหลาย ระวังให้ดี เพราะไม่ใช่ทุกสิ่งที่คุณได้ยินในมหาวิทยาลัยจะเป็นความจริง แม้ว่ามันจะมาจากคนที่มีประสบการณ์และมีการศึกษาที่สูงก็ตาม ดังนั้นขอให้คิด ตรวจสอบ และขอพระเจ้าประทานสติปัญญาที่จะปฏิเสธคำโกหกและยอมรับสิ่งที่เป็นความจริง

คำนี้เป็นคำสัตย์จริงและสมควรที่คนทั้งปวงจะรับไว้ คือว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลกเพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด” (1 ทิโมธี 1:15)

ริชาร์ด ออคส์

ถ้าคุณต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้า ให้ติดต่อที่

of Lake Road Chapel
For over 35 years, Richard Ochs has co-pastored with Charles Leiter in Kirksville, MO. Prior to this, they served together in a mission work in Germany. Richard grew up in rural central Iowa, received his bachelor's degree from Upper Iowa University and his master's degree from Northeast Missouri State University (Truman State). He and his wife, Rene', have five adult children.