แล้วเราจะทำอย่างไรกับพระเยซูดี

คำที่ปอนทิอัส ปีลาต เจ้าเมืองโรมได้เคยพูดไว้ 2,000 ปีที่แล้วตอนที่จะตรึงพระเยซูชาวนาซาเร็ธน่าจะเหมาะสมที่จะเอามาตั้งชื่อบทความนี้ (มัทธิว 27:22) เราทุกคนต้องเผชิญสถานการณ์แบบเดียวกันกับปีลาต นั่นคือ เราจะทำอย่างไรกับตัวปัญหาที่ชื่อพระเยซู ทั้งตัวเราและปีลาตไม่สามารถที่จะหนีจากสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ เราจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกสักทางในเรื่องนี้

ปีลาตรู้สึกยากที่จะต้องตัดสินใจเรื่องพระเยซู เพราะมันชัดเจนว่าพวกผู้นำทางศาสนาส่งตัวพระองค์มาด้วยความอิจฉาและพระองค์เองก็ไม่ได้ทำอะไรผิดจนถึงกับต้องถูกตัดสินประหารชีวิต และยิ่งกว่านั้นก็ดูเหมือนว่ามีพลังประหลาดที่ออกมาจากชายคนนี้ เขายังสามารถคงไว้ซึ่งความสงบและความมีสิทธิอำนาจ เขาไม่ได้แก้ต่างข้อกล่าวหาใดๆเลย และยังพูดว่า “อาณาจักรของเราไม่ได้อยู่ในโลกนี้” และนอกจากทั้งหมดนั้น ภรรยาของปีลาตเองก็ได้รับนิมิตว่าเขาไม่ควรจะทำอะไรพระเยซู แต่น่าแปลกที่แม้ว่าเขาจะรู้สึกได้ถึงความไม่ยุติธรรมและความผิดปกติในเรื่องนี้ เขาก็ยังยอมจำนนต่อความกดดันจากฝูงชนและตัดสินชายผู้บริสุทธิ์ที่สุดให้ถูกประหารอย่างน่าอายบนไม้กางเขน (มัทธิว 27:11-26; ลูกา 23:20; ยอห์น 18:33-38)

ความหวังของเราคือผู้ที่ได้อ่านเรื่องนี้จะไม่ทำตามตัวอย่างของปีลาต หวังให้พวกเขายอมรับว่าพระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเจ้าของพวกเขา แทนที่จะตรึงพระเยซูอีกครั้งในใจของพวกเขาเอง

ทางเลือก 4 ทาง

สิ่งแรกที่เราต้องเข้าใจชัดก็คือว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะ “แค่เฉยๆ” กับพระเยซูคริสต์ พระเยซูเองกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ที่ไม่อยู่ฝ่ายเราก็เป็นปฏิปักษ์ต่อเรา และผู้ที่ไม่รวบรวมไว้กับเราก็เป็นผู้กระทำให้กระจัดกระจายไป (มัทธิว 12:30)

ถ้าเราไม่อยู่ในกลุ่มคนที่รักและติดตามพระเยซู เราก็ต้องอยู่ในกลุ่มคนที่เกลียดชังและหาทางทำลายพระองค์ มันไม่มีตรงกลางในเรื่องนี้ ในสถานการณ์แบบนี้กลุ่มคริสเตียนที่แก้ต่างให้พระเยซูมักจะสรุปออกมาเป็นทางเลือก 4 ทาง นั่นคือในแง่หนึ่งเรายอมรับว่าพระเยซูเป็นความจริง หรืออีกแง่หนึ่งเราจะปฏิเสธสิ่งที่พระเยซูกล่าวอ้าง และนั่นเป็นการยืนยันโดยอัตโนมัติ (แม้ว่าเราเองอาจจะไม่รู้ตัว) ว่าเราเชื่อว่าพระเยซูเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างนี้คือ คนโกหก คนเสียสติ หรือไม่ก็เป็นเพียงคนที่ถูกแต่งขึ้นมา

เราน่าจะมีเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมเราเชื่ออย่างนั้น พระเยซูชาวนาซาเร็ธตรัสว่าพระองค์ไม่เหมือนกับผู้นำหรือศาสดาของศาสนาอื่นๆในโลกนี้ พระองค์ทรงอ้างถึงฤทธิ์อำนาจที่จะให้อภัยบาปและใช้สิทธิ์ในการรับคำสรรเสริญจากผู้ติดตามพระองค์ พระองค์สั่งให้ผู้ติดตามพระองค์อุทิศชีวิตเพื่อพระองค์อย่างแท้จริงและทรงสัญญาว่าจะให้ของประทานอันล้ำเลิศเช่น สันติสุขและชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ พระเยซูตรัสว่าพระองค์เป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า และพระองค์จะกลับมาด้วยฤทธิ์อำนาจและพระสิริยิ่งใหญ่ในวันสุดท้ายเพื่อพิพากษามนุษย์ทุกคน พระองค์ทรงสอนจากคุณความดีอันสมบูรณ์แบบและปราศจากบาปของพระองค์ ทรงสอนด้วยสิทธิอำนาจ และตรัสว่า ทุกคำที่ออกจากปากของพระองค์ล้วนมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น พระองค์ตรัสว่าพระองค์เป็นแสงสว่างและเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของทั้งโลก ดังนั้น ตอนที่เราปฏิเสธความจริงที่พระเยซูตรัสเหล่านี้ เราก็จะเหลือเพียงไม่กี่ทางเลือกที่จะอธิบายตัวตนของพระองค์ นั่นก็คือถ้าเราไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นอย่างที่เขาอ้างว่าเขาเป็นจริงๆ เราก็ต้องคิดว่าเขาเป็นคนลวงโลก คนเสียสติ หรือไม่ก็เป็นคนที่ถูกแต่งขึ้นมา ความเป็นไปได้อื่นๆก็จะถูกจัดอยู่ในสามตัวเลือกนี้อยู่ดี อย่างไรก็ตาม “ความเป็นไปได้” เหล่านี้ก็ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้เลย จะมีก็แต่เพียงคนใจแข็งเท่านั้นที่จะเชื่อสิ่งเหล่านี้ได้

  1. คนโกหก

พระเยซูอ้างว่าทรงเป็นพระเจ้าทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองไม่ใช่

สำหรับคนที่เคยอ่านประวัติชีวิตของพระเยซูในพระกิตติคุณด้วยความเข้าใจทางศีลธรรมจริงๆ จะเห็นได้ว่าความเป็นไปได้ของข้อนี้ก็ขัดแย้งในตัวเอง คุณธรรมของพระเยซูนั้นแทบไม่ต้องถามถึง เพราะแม้แต่เลคกี้นักประวัติศาสตร์ชาวไอริชก็ยังยอมรับว่า คุณลักษณะของพระเยซูนั้นไม่ใช่เพียงแค่เป็นรูปแบบของคุณสมบัติที่ดีและน่าชื่นชมที่สุดเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นให้เกิดการกระทำตามและมีผลกระทบอย่างมากมาย นี่อาจกล่าวได้ว่าแค่เพียงบันทึกธรรมดาๆเกี่ยวกับ 3 ปีสั้นๆของพันธกิจที่พระเยซูทำ ก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่และเกิดความอ่อนโยนในมนุษยชาติได้มากยิ่งกว่าปาฐกถาทั้งหมดของนักปรัชญาและมากกว่าถ้อยคำปลุกใจทั้งหมดของผู้มีศีลธรรมเสียอีก หลักศีลธรรมที่พระเยซูสอนก็สูงส่งเกินกว่าที่จะหาอะไรมาเทียบได้และชีวิตของพระองค์เองก็เป็นตัวอย่างที่ดีเลิศ พระองค์ทรงเกลียดชังและประณามความน่าซื่อใจคดของคนอื่นและทรงสำแดงความจริงใจและไร้เล่ห์เหลี่ยมของพระองค์เอง พระองค์ทรงเรียกซาตานว่า “พ่อของการมุสา” (ยอห์น 8:43-45) และจุดประสงค์ของพระองค์ที่เข้ามาในโลกนี้คือ “เป็นพยานถึงความจริง” (ยอห์น 18:36-37) “ถ้าไม่มี เราคงได้บอกพวกท่านแล้ว” พระเยซูทรงให้ความเชื่อมั่นกับเหล่าสาวกของพระองค์ (ยอห์น 14:1-2)

แน่นอนว่ามันดูเป็นไปไม่ได้เลยที่พระเยซูจะตั้งทั้งชีวิตและคำสอนของพระองค์อยู่บน “คำโกหกคำโตนี้เมื่อเราได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของพระองค์” (มอนท์โกโมรี) ทั้งนิยาย ภาพยนตร์ และเพลงอัลบัมต่างๆที่ออกมาเมื่อไม่นานนี้ ก็จะมีการพูดถึงพระเยซูอย่างบิดเบือน และไม่ได้บอกอะไรเราเลยเกี่ยวกับพระองค์ตามประวัติศาสตร์จริงๆ แต่อย่างน้อยมันก็ได้บอกถึงความเสื่อมทรามทางศีลธรรมอย่างน่ากลัวของคนในยุคของเราเอง ใครก็ตามที่กล้าที่จะเลือกที่จะแต่งเรื่องพระเยซูอย่างบิดเบือน หรือคนที่แต่ง “โครงเรื่องปัสกา” ก็อยู่ใกล้กับการทำ “บาปที่อภัยให้ไม่ได้” ที่พระเยซูได้เคยพูดถึง แม้ว่าในยุคนั้นก็มีบางคนที่สัมผัสได้ถึงพระวิญญาณของพระเจ้าเหนือเขา และรู้ว่าองค์พระเจ้าในสภาพของมนุษย์ทรงอยู่ต่อหน้าพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังเลือกที่จะไม่เชื่อและบอกว่าความรู้สึกเหล่านั้นมาจากมารซาตาน (มาระโก 3:22-30)

  1. คนบ้า

พระเยซูทรงเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่

มีคนมากมายในสมัยนี้ที่มีอาการหลอนคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าหรือนโปเลียน พวกเขาจะถูกจัดอยู่ในประเภทคนวิกลจริต ป่วยทางจิต ขาดความสมดุลทางสมอง แต่สิ่งที่พระเยซูพูดเกี่ยวกับพระองค์เองก็น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าที่พวกคนป่วยในแผนกจิตเวชจะพูดได้ อย่างที่ เจ. ดับเบิลยู. มอนท์โกเมอรี่ กล่าวไว้ว่า “ผมรู้ว่าถ้าผมได้อ้างอะไรเกี่ยวกับตัวเองอย่างที่พระเยซูคริสต์ทำจริงๆ คุณจะต้องรีบพาพวกบุรุษพยาบาลมาจับผมแน่” อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ที่พระเยซูคริสต์จะเป็นบ้าก็ง่ายที่จะตัดทิ้งไป เพราะมันเป็นความเชื่อที่โง่มากๆ (ยอห์น 10:20-21) “จะเป็นไปได้หรือที่ผู้มีสติปัญญาที่แจ่มใสราวกับท้องฟ้า สดชื่นราวกับอากาศจากขุนเขา คมและเฉียบแหลมราวกับดาบนับรบ สมบูรณ์และแข็งแรงอย่างแท้จริง พร้อมอยู่เสมอและก็ยังควบคุมตนเองได้ตลอดเวลา จะเกิดอาการหลอนอย่างน่าเป็นห่วงเกี่ยวกับคุณลักษณะและเป้าหมายชีวิตของตัวเอง นี่ช่างเป็นจินตนาการที่ประหลาดเสียจริง!” (สคาฟ) ครั้งหนึ่งเราเคยเข้าใจคำอุปมาของอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ ครั้งหนึ่งเราก็เคยเฝ้าดูชีวิตที่สมบูรณ์แบบของพระองค์ เรารู้สึกได้ถึงความสงบและมั่นคงของพระองค์ภายใต้ความกดดัน และเราเองก็เคยได้ยินคำตอบของพระองค์เวลาที่ถูกซักถาม ทางเลือกที่ว่าพระองค์เป็นคนบ้านี้น่าจะตัดทิ้งไปได้เลย ถ้าเราอยากจะเป็นคนปกติอย่างพระเยซู

ขอให้เราเน้นข้อความที่ว่า พระเยซูต้องเป็นสักอย่างหนึ่ง คือถ้าพระองค์ไม่ได้เป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างที่พระองค์กล่าวอ้างไว้ พระองค์ก็ต้องเป็นคนโรคจิต ซี. เอส. ลูอิสกล่าวไว้อย่างน่าคิดว่า “ความแตกต่างที่ไม่เคยจะหาคำตอบมาอธิบายได้อย่างเป็นที่น่าพอใจก็เป็นเรื่องระหว่างความลึกซึ้ง ความมีเหตุมีผลและความเฉลียวฉลาดของคำสอนของเยซู กับความผิดปกติทางจิตใจแบบที่คิดว่าตนเองมีอำนาจพิเศษที่พระเยซูจะต้องมี ถ้าพระองค์จะสอนว่าทรงเป็นพระเจ้าโดยที่พระองค์ไม่ได้เป็นจริงๆ”

  1. คนที่ถูกแต่งขึ้นมา

พระเยซูไม่เคยบอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้า สิ่งที่พูดเกี่ยวกับพระองค์เป็นเรื่องที่คนอื่นแต่งขึ้นมา

ความเป็นไปได้” ข้อสุดท้ายนี้เป็นความเชื่อที่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยหลายคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนมักจะเลือกเชื่อ อย่างไรก็ตามไม่มีหลักฐานอะไรที่จะทำให้ข้อนี้น่าเชื่อไปมากกว่า 2 ข้อแรก ซึ่งความจริงแล้วเพียงแค่เอ่ยปากออกมา ก็จะรู้ได้ทันทีว่ามันไม่จริง อีกครั้งหนึ่งที่ใครก็ตามที่ได้อ่านเรื่องของพระเยซูจากสิ่งที่พระกิตติคุณบันทึกไว้ด้วยดุลยพินิจก็จะรู้ได้ว่าพระองค์อยู่เหนือขอบเขตที่มนุษย์จะแต่งเรื่องขึ้นมา “คุณลักษณะของพระองค์เป็นต้นฉบับจริงๆ เสร็จสมบูรณ์ สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด สมบูรณ์แบบมาก มีความเป็นมนุษย์จริงๆและก็ยังเหนือกว่าความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ทั้งหลาย คงเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งเหล่านี้จะเป็นแค่เรื่องหลอกลวงหรือนวนิยายที่แต่งขึ้น เคยมีคนพูดไว้อย่างน่าคิดว่า นักประพันธ์ที่เขียนเรื่องวีรบุรุษสักคนหนึ่งขึ้นมาได้ เขาจะต้องยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าวีรบุรุษคนนั้นเสียอีก ดังนั้นก็คงจะต้องมีคนที่ยิ่งใหญ่กว่าพระเยซูเท่านั้นแหละที่จะแต่งเรื่องของพระเยซูขึ้นมาได้” (สคาฟ) เกรสแฮม มาเชนเองก็กล่าวว่า “พระเยซูในพระกิตติคุณนั้นไม่ใช่ผลงานจากการแต่งเรื่องขึ้นมาหรือเป็นแค่เพียงตำนานอย่างแน่นอน พระองค์ทรงอยู่ในประวัติศาสตร์จริงๆ และก็อยู่สูงเกินกว่าที่จะมีใครสร้างเรื่องของพระองค์ขึ้นมาได้” (เน้นโดยผู้เขียน) ช่างเป็นการดูถูกพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระสิริเสียจริงถ้าเราจะบอกว่าพระเยซูเป็นแค่เพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาโดยกลุ่มแฟนคลับผู้คลั่งไคล้ศาสนา

ยิ่งไปกว่านั้น มีคนคิดว่ากลุ่มผู้ติดตามพระเยซูอย่างกระตือรือร้นในช่วง ค.. 200 และ 300 เป็นผู้ขยายความยิ่งใหญ่ของพระเยซูอย่างเกินจริง และใส่คำพูดให้พระองค์ในแบบที่ถ้าพระองค์ได้ยินเข้าก็คงจะต้องตกใจเป็นแน่ แต่ความคิดนี้ไม่สามารถจะตั้งอยู่บนหลักฐานทางประวัติศาสตร์จริงๆได้เลย เพราะมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าประวัติของพระเยซูได้ถูกเขียนขึ้นในช่วงที่คนที่อยู่ในสมัยเดียวกันกับพระองค์นั้นยังมีชีวิตอยู่ ถึงขนาดที่ วิลเลี่ยม เอฟ. อัลไบรท์ ยกขึ้นมาพูดว่า “พระคัมภีร์ทุกเล่มในพันธสัญญาใหม่ถูกเขียนขึ้นโดยชาวยิวผู้ได้รับบัพติศมาในช่วง ค.. 40-80 ซึ่งเป็นช่วงศตวรรษแรก (จริงๆน่าจะเป็นสักช่วงในระหว่าง ค.. 50-75)” (ดร. อัลไบรท์ได้เสียชีวิตในปี 1971 แต่ก่อนหน้านั้นเขาเป็นนักโบราณคดีทางพระคัมภีร์คนสำคัญของอเมริกา ดังนั้นข้อสรุปของเขาจึงมีน้ำหนัก แม้ว่าเขาจะมีมุมมองแบบ “เสรีนิยม” ต่อพระคัมภีร์ก็ตาม)

ลองคิดดูว่า ตอนที่ประวัติพระเยซูถูกเขียนขึ้นมาช่วงแรกๆนั้น คนหลายร้อยคนที่เคยรู้จักพระองค์ก็ยังมีชีวิตอยู่ (เพราะพระเยซูถูกตรึงใน ค.. 30) สำหรับแก่นของความเชื่อแบบผิดๆในเรื่องพระเยซูนั้นคือ คนมักจะคิดว่าพระกิตติคุณถูกเขียนขึ้นมาลอยๆ และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงเลย แต่การที่พวกคริสเตียนในยุคแรกได้รับการยอมรับจากพยานมากมายรอบข้างเขาที่เคยรู้จักพระเยซูจริงๆ ก็เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ

นอกจากนี้ พระเยซูยังมีฐานะยากจนเหลือเกิน ขนาดที่พวกยิวจะต้องการยกฐานะของพระองค์ขึ้นเพื่อจะให้สมกับที่จะเป็นพระเมสิยาห์โดยที่พระองค์เองก็ไม่ปรารถนาสิ่งนั้นเลย เพราะมันเป็นเรื่องจำเป็นที่พระเยซูจะต้องมีลักษณะของ “พระเมสิยาห์” ตามอย่างที่ประชาชนคาดหวังไว้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพระเยซูก็ตรงข้ามกับที่พวกเขาคิดเอาไว้เลย ขออ้างคำกล่าวของมอนท์โกเมอรี่อีกครั้งที่ว่า “จากประวัติศาสตร์เราสามารถเห็นได้ว่าประเด็นสำคัญทุกอย่างที่พระเยซูทรงตรัสเกี่ยวกับความเป็นพระเมสสิยาห์ของพระองค์นั้นต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากพระเมสสิยาห์ที่พวกยิวเคยเข้าใจ” สรุปคือ “คนพวกนั้นต้องการพระเมสสิยาห์ที่เป็นกษัตริย์ ไม่ใช่คนรับใช้ที่ทุกข์ยาก เขาต้องการผู้นำการปลดปล่อยทางการเมืองที่เป็นมนุษย์ ไม่ใช่พระผู้ช่วยให้รอดฝ่ายจิตวิญญาณที่มาจากสวรรค์” (พินนอค)

การที่เหล่าอัครทูตกลุ่มแรกจะทำผิดโดยการหลอกลวงและยกพระเยซูให้เป็นพระเจ้านั้นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน การเปลี่ยนพระเยซูซึ่งเป็นเพียงคนธรรมดาที่มีศีลธรรมคนหนึ่งให้กลายเป็นองค์พระคริสต์ของพระเจ้านั้นเป็นงานที่พวกเขาไม่สามารถจะทำได้เลยไม่ว่าจะเป็นด้านจิตวิทยา ศีลธรรม หรือศาสนา อัครทูตแต่ละคนเคยศึกษาประวัติศาสตร์ของยิวซึ่งเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น และพวกเขาเองก็ค่อยๆเข้าใจและยอมรับอย่างช้าๆว่าพระเยซูของพวกเขาเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า นอกจากนี้มาตรฐานของความสัตย์ซื่อของพวกเขาก็เป็นรองเพียงแค่จากมาตรฐานคุณธรรมของพระเยซูอาจารย์ของพวกเขาเท่านั้น และบางที “พวกเขาแทบจะไม่เคยถูกเตรียมให้ต้องตายเพื่อสิ่งที่พวกเขาเองปั้นแต่งขึ้นมาอย่างหลอกลวง” (พินนอค)

จากที่ได้เห็น “ทางเลือก” ที่ไร้หลักฐานอ้างอิงเหล่านี้ ให้เรากลับไปที่คำถามของปีลาต “แล้วเราจะทำอย่างไรกับพระเยซูดี” คำถามนี้เป็นคำถามที่สำคัญล้ำลึกคำถามหนึ่ง ตามที่พระเยซูได้กล่าวไว้ ถ้าเราตอบคำถามนี้ผิดพลาดนั่นหมายถึงการถูกลงโทษชั่วนิรันดร์ “ถ้าท่านมิได้เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น ท่านจะต้องตายในการบาปของตัว” (ยอห์น 8: 24) ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีใครที่จะหลีกหนีการตอบคำถามนี้พ้น เพราะการไม่ตัดสินใจเลือกพระเยซูก็หมายถึงว่าได้ตัดสินใจต่อต้านพระองค์เรียบร้อยแล้ว การที่เราปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงที่พระเยซูคริสต์ทรงกล่าวไว้ก็เป็นการดูถูกพระองค์อย่างที่สุดโดยอัตโนมัติ การแค่จะสงบศึกกับพระเยซูชั่วคราวนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

พวกคริสเตียนมักจะถูกถามว่า ต้องทำอะไรหรือพวกเขาจึงจะยอมทิ้งความเชื่อของพวกเขา เพื่อนที่ยังไม่เชื่อเอ๋ย เราอาจจะต้องใช้คำถามนี้กับคุณเช่นกัน “ต้องทำอะไรหรือคุณจึงจะยอมทิ้งความไม่เชื่อของคุณ” ตามหลักแล้ว เราไม่ได้พยายามทำให้คุณเชื่อในพระเยซู เราเพียงแค่ต้องการให้คุณเลิกไม่เชื่อพระองค์ หยุดที่จะข่มใจตัวเองให้ไม่เชื่อในสิ่งที่คุณเองก็รู้ว่าเป็นความจริง ออกจากถังน้ำแตกและแห้งแล้งของมนุษย์เรา แล้วมายังน้ำพุแห่งชีวิตของพระเจ้าเถอะ “ให้ผู้ที่กระหายเข้ามา(เยเรมีย์ 2:13; วิวรณ์ 22:17)

Kirksville, Missouri